1. ข้อใดผิด
ก. การถลุงแร่เป็นกระบวนการรีดักชัน
ข. การถลุงแร่ทำโดยใช้สารเคมีหรือไฟฟ้า
ค. การถลุงแร่มีส่วนทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
ง. การถลุงแร่เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนสารประกอบอื่น ๆ ให้อยู่ในรูปออกไซด์
2. ตัวรีดิวซ์ที่ใช้ในการถลุงแร่ดีบุก คือข้อใด
ก. C
ข. Mg
ค. Zn
ง. Zr
3. การถลุงแร่ชนิดใดที่เกิดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งเป็นแก๊สพิษ
ก. แร่แคสซิเทอร์ไรต์
ข. แร่ซิงค์ไคต์
ค. แร่สติบไนต์
ง. แร่สมิทซอไนต์
4. การถลุงแร่ชนิดใดที่มีขั้นตอนการถลุง ดังต่อไปนี้
1. ย่างแร่
2. รีดิวซ์แร่ที่ย่างแล้วด้วย CO ในเตาถลุง
3. โซเดียมคาร์บอเนตรวมตัวกับสารปนเปื้อนต่างๆ ในเตาถลุง กลายเป็นกากตะกอนลอยอยู่บนผิวโลหะเหลว
4. ไขโลหะเหลวออกจากเตาลงเบ้าเหล็กเพื่อหล่อเป็นแท่ง
ก. แร่สฟาเลอไรต์
ข. แร่แคสซิเทอไรต์
ค. แร่สติบไนต์
ง. แร่เซอร์คอน
5. แร่ที่มีองค์ประกอบสำคัญในทองแดง ได้แก่แร่ที่มีสูตรตรงกับข้อใด
ก. CuS
ข. CuFeS2
ค. FeS
ง. Cu2O
6. โลหะผสมทองแดงในข้อใดที่มีสมบัติทนต่อการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะในน้ำทะเล
ก. Cu + Zn
ข. Cu + Ni
ค. Cu + Sn
ง. Cu + Ni + Zn
7. ทองเหลืองเป็นโลหะผสมที่เกิดจากการผสมธาตุในข้อใด
ก. Cu + Zn
ข. Cu + Ni
ค. Cu + Sn
ง. Cu + Ni + Zn
8. แร่รัตนชาติในข้อใดที่มีความแข็งมากที่สุด
ก. มรกต
ข. โกเมน
ค. เพทาย
ง. ทับทิม
9. ข้อใดถูกต้อง
1. ทับทิม บุษราคัม และไพลิน คือแร่คอรันดัม
2. แร่รัตนชาติ เช่น ทองแดง เพชร และพลอย
3. มรกตเป็นรัตนชาติที่มีสูตรว่า Al2O3 แต่มี Fe เป็นมลทิน จึงมีสีเขียว
4. ปะการัง เปลือกหอย และไข่มุก ก็เป็นอัญมณี
ก. ข้อ 1 และ 4 ถูก
ข. ข้อ 2 และ 3 ถูก
ค. ข้อ 1 ถูกข้อเดียว
ง. ถูกทุกข้อ
10. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
1. แร่รัตนชาติที่มีชื่อเสียงของไทย คือ ทับทิมสยาม ไพลิน
2. สาแหรกเป็นลายเส้นเหลือบ ๆ ในพลอย บางชนิดเกิดจากมลทิน จำพวกแร่รูไทล์
3. การหุงพลอยเป็นเทคนิคที่ช่วยให้พลอยมีสีสันสวยขึ้นโดยใช้ความร้อนทำให้ธาตุเปลี่ยนเลขออกซิเดชัน และเปลี่ยนสีสันถาวร
ก. ข้อ 1 และ 2
ข. ข้อ 2 และ 3
ค. ข้อ 1 และ 3
ง. ทั้งข้อ 1 , 2 และ 3
สาธิตา
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553
อิเล็กโทรไลต์
1. ปรากฎการณ์ในข้อใดที่เกิดจากอิทธิพลของอนุภาคอื่นของอะตอมที่ไม่ไฃใช่อิเล้กตรอน
1. การเกิดรังสีแคโทด
2. การเกิดรังสีบวกในหลอดรังสีแคโทด
3. การเกิดสเปกตรัมของธาตุเมื่อเผาสารประกอบ
4. การเบี่ยงเบนของอนุภาคแอลฟาเมื่อยิงผ่านแผ่นโลหะบาง ๆ
2. ข้อใดผิดไปจากความรู้ที่ได้จากการทดลอง โดยใช้หลอดรังสีแคโทดหรือหลอดรังสีแคโทดที่ดัดแปลงแล้ว
1. ในหลอดรังสีแคโทดจะมีประจุบวกและประจุลบเคลื่อนที่เข้าหาขั้วไฟฟ้าลบและขั้วไฟฟ้าบวกตามลำดับ
2. รังสีแคโทดมีมวลและพลังงาน
3. ในหลอดรังสีแคโทดต้องใช้ก๊าซที่มีความดันต่ำมาก และใช้ไฟฟ้ากระแสตรงที่มีความต่างศักย์สูงมากจึงจะสังเกตเห็นรังสีแคโทด
4. ถ้าใช้ก๊าซต่างชนิดกันบรรจุในหลอดรังสีแคโทด จะพบว่ารังสีที่มากระทบฉากเรืองแสงมรประจุต่างกัน
3. กำหนดให้
ก. สมบัติของรังสีแคโทดจะมีอัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลไม่คงที่ ขึ้นอยุ่กับชนิดของก๊าซ
ข. ผลการทดลองของแชดวิกโดยการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังธาตุต่าง ๆ ทำให้พบว่าภายในนิวเคลียสมีอนุภาคที่เรียกว่า นิวตรอน
ค. มิลิแกนได้ทำการทดลองเพื่อหามวลของอิเล็กตรอน พบว่ามีค่าเท่ากับ 1.9*10-28 กรัมง. ถ้าแบบจำลองอะตอมของทอมสันถูกต้อง เมื่อยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบางๆ อนุภาคส่วนใหญ่จะสะท้อนกลับและเบี่ยงเบนไปตามแนวเส้นตรงเดิมจ. โกลด์ชไตน์ได้ทดลองใช้ก๊าซโฮโดรเจนในหลอดรังสีแคโทด จะได้อนุภาคบวกที่มีประจุเท่ากับของอิเล็กตรอนข้อความในตัวเลือกใดถูกต้อง
1. ก และ ค
2. ข และ จ
3. ข และ ง
4. ค และ ง
จากข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 294-295จากผลการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด โดยการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบาง ๆ ได้ผลดังนี้ก. อนุภาคแอลฟาส่วนใหญ่จะวิ่งเป็นเส้นตรงผ่านแผ่นทองคำไปกระทบฉากเรืองแสงข. อนุภาคแอบฟาจะเบนไปจากแนวเส้นตรงค. อนุภาคแอลฟาจะสะท้อนกลับมากระทบฉากบริเวณหน้าแผ่นทองคำ
4. ผลการทดลองในข้อใดของรัทเทอร์ฟอร์ดที่ใช้แบบจำลองอะตอมของทอมสันได้
1. ข้อ ก เท่านั้น
2. ข้อ ข เท่านั้น
3.ข้อ ค เท่านั้น
4. ข้อ ก และ ข
5. ที่กล่าว “มวลของธาตุส่วนใหญ่มีค่าเป็น 2 เท่า หรือมากกว่า 2 เท่าของมวลโปรตอนทั้งหมอดรวมกัน” สามารถใช้ผลการทดลองข้อใดของรัทเทอร์ฟอร์ดอธิบายได้
1. ข้อ ก เท่านั้น
2. ข้อ ข เท่านั้น
3. ข้อ ค เท่านั้น
4. ข้อ ก และ ค
6. ข้อแตกต่างระหว่างแบบจำลองอะตอมของทอมสันกับรัทเทอร์ฟอร์ดคืออะไร
1. ชนิดของอนุภาคในอะตอม
2. จำนวนอนุภาคทั้งหมดในอะตอม
3. ตำแหน่งอิเล็กตรอนและโปรตอน
4. จำนวนอนุภาคนิวตรอนทั้งหมดในนิวเคลียส
7. ผลสรุปของโกด์ชไตน์ที่ว่า อนุภาคบวกในหลอดทดลองรังสีแคดทดมีลักษณะต่างกันเมื่อใช้ก๊าซต่างชนิดกัน ข้อใดถูกต้องก. การเบี่งเบนสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าต่างกันข. มวลและจำนวนประจุอนุภาคมีค่าแตกต่างกัน ขึ้นอยุ่กับชนิดของก๊าซที่ใส่ในหลอดรังสีค. มีอัตราส่วนของประจุต่อมวลไม่เท่ากับโปรตอน
1. ข้อ ข และ ค
2. ข้อ ก เท่านั้น
3. ข้อ ก และ ค
4. ข้อ ก และ ค
8. แบบจำลองอะตอมของทอมสันและรัทเทอร์ฟอร์ดเหมือนกันในข้อใด
1. ตำแหน่งของอนุภาคในอะตอม
2. ประกอบด้วยอนุภาคประจุบากและประจุลบ
3. ภายในนิวเคลียสประกอบด้วยอิเล็กตรอนกับนิวตรอน
4. จำนวนอนุภาคนิวตรอนในนิวเคลียส
9. ธาตุ Eu ประกอบด้วยจำนวนโปรตอนเท่ากับ 63 และจำนวนนิวตรอนเท่ากับ 89 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของ Eu คือข้อใด
1. 86 63 Eu
2. 152 89 Eu
3. 89 152 Eu
4. 152 63 Eu
10. ธาตุ x และ y เป็นธาตุที่มีอนุภาคที่ไม่มีประจุเท่ากัน ธาตุ x 1 อะตอมมีจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากับ และมีเลขมวลเท่ากับ ส่วนธาตุ มีจะนวนอิเล็กตรอนเท่ากับ d ดังนั้นธาตุ y จะมีเลขมวลเท่าใด
1. a+c+d
2. a+c-d
3. d-c+a
4. d+c-a
เฉลย
1. ตอบ ข้อ 4. เหตุผล อนุภาคแอลฟามีประจุบวก เมื่อยิงไปยังแนโลหะบาง ๆ จะเกิดการเบี่ยงเบนอันเนื่องมาจากการผลักของอนุภาคบวก ซึ่งเป็นปราฎกการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอิเล็กตรอน
2. ตอบ ข้อ 4. เหตุผล ดูคำอธิบายในข้อ 2 , 3 , 4 , 5
3. ตอบ ข้อ 2. เหตุผล ข้อ ก ค และง ผิด ดูคำอธิบายในข้อ 2 , 3 , 4
4. ตอบ ข้อ 2. เหตุผล ตามแบบจำลองของทอมสัน อนุภาคแอลฟาซึ่งมรประจุบวกน่าจะผลักกับโปรตอนให้เกดการเบี่ยงเบนไปจากแนวเส้นตรงได้บ้าง
5. ตอบ ข้อ 3. เหตุผล การที่อนุภาคแอลฟาบางอนุภาคสะท้อนกลับมาบริเวณด้านหน้าของฉากเรืองแสง แสดงว่าบริเวณตรงกลางของอะตอมน่าจะมีมวลมากกว่าอนุภาคแอลฟาอยู่ รัทเทอร์ฟอร์ดจึงคิดว่า มวลส่วนใหญ่ของอะตอมคือมวลของนิวเคลียส และพบอีกว่ามวลของธาตุส่วนใหญ่มีค่าเป็น 2 เท่าหรือมากกว่า 2 เท่า ของมวลโปรตอนทั้งหมดรวมกัน
6. ตอบ ข้อ 3. เหตุผล ตามแบบจำลองอะตอมของทอมสัน อิเล็กตรอนและโปรตรอนกระจายอยู่ทั่วไปเท่า ๆ กัน แต่ตามแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด โปรตอนจะอยู่ที่นิวเคลียส และมีอิเล็กตรอนวิ่งล้อมรอบ
7. ตอบ ข้อ 4.
8. ตอบ ข้อ 2. เหตุผล ดูคำอธิบายในข้อ 296
9. ตอบ ข้อ 4.
10. ตอบ ข้อ 3.
1. การเกิดรังสีแคโทด
2. การเกิดรังสีบวกในหลอดรังสีแคโทด
3. การเกิดสเปกตรัมของธาตุเมื่อเผาสารประกอบ
4. การเบี่ยงเบนของอนุภาคแอลฟาเมื่อยิงผ่านแผ่นโลหะบาง ๆ
2. ข้อใดผิดไปจากความรู้ที่ได้จากการทดลอง โดยใช้หลอดรังสีแคโทดหรือหลอดรังสีแคโทดที่ดัดแปลงแล้ว
1. ในหลอดรังสีแคโทดจะมีประจุบวกและประจุลบเคลื่อนที่เข้าหาขั้วไฟฟ้าลบและขั้วไฟฟ้าบวกตามลำดับ
2. รังสีแคโทดมีมวลและพลังงาน
3. ในหลอดรังสีแคโทดต้องใช้ก๊าซที่มีความดันต่ำมาก และใช้ไฟฟ้ากระแสตรงที่มีความต่างศักย์สูงมากจึงจะสังเกตเห็นรังสีแคโทด
4. ถ้าใช้ก๊าซต่างชนิดกันบรรจุในหลอดรังสีแคโทด จะพบว่ารังสีที่มากระทบฉากเรืองแสงมรประจุต่างกัน
3. กำหนดให้
ก. สมบัติของรังสีแคโทดจะมีอัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลไม่คงที่ ขึ้นอยุ่กับชนิดของก๊าซ
ข. ผลการทดลองของแชดวิกโดยการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังธาตุต่าง ๆ ทำให้พบว่าภายในนิวเคลียสมีอนุภาคที่เรียกว่า นิวตรอน
ค. มิลิแกนได้ทำการทดลองเพื่อหามวลของอิเล็กตรอน พบว่ามีค่าเท่ากับ 1.9*10-28 กรัมง. ถ้าแบบจำลองอะตอมของทอมสันถูกต้อง เมื่อยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบางๆ อนุภาคส่วนใหญ่จะสะท้อนกลับและเบี่ยงเบนไปตามแนวเส้นตรงเดิมจ. โกลด์ชไตน์ได้ทดลองใช้ก๊าซโฮโดรเจนในหลอดรังสีแคโทด จะได้อนุภาคบวกที่มีประจุเท่ากับของอิเล็กตรอนข้อความในตัวเลือกใดถูกต้อง
1. ก และ ค
2. ข และ จ
3. ข และ ง
4. ค และ ง
จากข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 294-295จากผลการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด โดยการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบาง ๆ ได้ผลดังนี้ก. อนุภาคแอลฟาส่วนใหญ่จะวิ่งเป็นเส้นตรงผ่านแผ่นทองคำไปกระทบฉากเรืองแสงข. อนุภาคแอบฟาจะเบนไปจากแนวเส้นตรงค. อนุภาคแอลฟาจะสะท้อนกลับมากระทบฉากบริเวณหน้าแผ่นทองคำ
4. ผลการทดลองในข้อใดของรัทเทอร์ฟอร์ดที่ใช้แบบจำลองอะตอมของทอมสันได้
1. ข้อ ก เท่านั้น
2. ข้อ ข เท่านั้น
3.ข้อ ค เท่านั้น
4. ข้อ ก และ ข
5. ที่กล่าว “มวลของธาตุส่วนใหญ่มีค่าเป็น 2 เท่า หรือมากกว่า 2 เท่าของมวลโปรตอนทั้งหมอดรวมกัน” สามารถใช้ผลการทดลองข้อใดของรัทเทอร์ฟอร์ดอธิบายได้
1. ข้อ ก เท่านั้น
2. ข้อ ข เท่านั้น
3. ข้อ ค เท่านั้น
4. ข้อ ก และ ค
6. ข้อแตกต่างระหว่างแบบจำลองอะตอมของทอมสันกับรัทเทอร์ฟอร์ดคืออะไร
1. ชนิดของอนุภาคในอะตอม
2. จำนวนอนุภาคทั้งหมดในอะตอม
3. ตำแหน่งอิเล็กตรอนและโปรตอน
4. จำนวนอนุภาคนิวตรอนทั้งหมดในนิวเคลียส
7. ผลสรุปของโกด์ชไตน์ที่ว่า อนุภาคบวกในหลอดทดลองรังสีแคดทดมีลักษณะต่างกันเมื่อใช้ก๊าซต่างชนิดกัน ข้อใดถูกต้องก. การเบี่งเบนสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าต่างกันข. มวลและจำนวนประจุอนุภาคมีค่าแตกต่างกัน ขึ้นอยุ่กับชนิดของก๊าซที่ใส่ในหลอดรังสีค. มีอัตราส่วนของประจุต่อมวลไม่เท่ากับโปรตอน
1. ข้อ ข และ ค
2. ข้อ ก เท่านั้น
3. ข้อ ก และ ค
4. ข้อ ก และ ค
8. แบบจำลองอะตอมของทอมสันและรัทเทอร์ฟอร์ดเหมือนกันในข้อใด
1. ตำแหน่งของอนุภาคในอะตอม
2. ประกอบด้วยอนุภาคประจุบากและประจุลบ
3. ภายในนิวเคลียสประกอบด้วยอิเล็กตรอนกับนิวตรอน
4. จำนวนอนุภาคนิวตรอนในนิวเคลียส
9. ธาตุ Eu ประกอบด้วยจำนวนโปรตอนเท่ากับ 63 และจำนวนนิวตรอนเท่ากับ 89 สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของ Eu คือข้อใด
1. 86 63 Eu
2. 152 89 Eu
3. 89 152 Eu
4. 152 63 Eu
10. ธาตุ x และ y เป็นธาตุที่มีอนุภาคที่ไม่มีประจุเท่ากัน ธาตุ x 1 อะตอมมีจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากับ และมีเลขมวลเท่ากับ ส่วนธาตุ มีจะนวนอิเล็กตรอนเท่ากับ d ดังนั้นธาตุ y จะมีเลขมวลเท่าใด
1. a+c+d
2. a+c-d
3. d-c+a
4. d+c-a
เฉลย
1. ตอบ ข้อ 4. เหตุผล อนุภาคแอลฟามีประจุบวก เมื่อยิงไปยังแนโลหะบาง ๆ จะเกิดการเบี่ยงเบนอันเนื่องมาจากการผลักของอนุภาคบวก ซึ่งเป็นปราฎกการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอิเล็กตรอน
2. ตอบ ข้อ 4. เหตุผล ดูคำอธิบายในข้อ 2 , 3 , 4 , 5
3. ตอบ ข้อ 2. เหตุผล ข้อ ก ค และง ผิด ดูคำอธิบายในข้อ 2 , 3 , 4
4. ตอบ ข้อ 2. เหตุผล ตามแบบจำลองของทอมสัน อนุภาคแอลฟาซึ่งมรประจุบวกน่าจะผลักกับโปรตอนให้เกดการเบี่ยงเบนไปจากแนวเส้นตรงได้บ้าง
5. ตอบ ข้อ 3. เหตุผล การที่อนุภาคแอลฟาบางอนุภาคสะท้อนกลับมาบริเวณด้านหน้าของฉากเรืองแสง แสดงว่าบริเวณตรงกลางของอะตอมน่าจะมีมวลมากกว่าอนุภาคแอลฟาอยู่ รัทเทอร์ฟอร์ดจึงคิดว่า มวลส่วนใหญ่ของอะตอมคือมวลของนิวเคลียส และพบอีกว่ามวลของธาตุส่วนใหญ่มีค่าเป็น 2 เท่าหรือมากกว่า 2 เท่า ของมวลโปรตอนทั้งหมดรวมกัน
6. ตอบ ข้อ 3. เหตุผล ตามแบบจำลองอะตอมของทอมสัน อิเล็กตรอนและโปรตรอนกระจายอยู่ทั่วไปเท่า ๆ กัน แต่ตามแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด โปรตอนจะอยู่ที่นิวเคลียส และมีอิเล็กตรอนวิ่งล้อมรอบ
7. ตอบ ข้อ 4.
8. ตอบ ข้อ 2. เหตุผล ดูคำอธิบายในข้อ 296
9. ตอบ ข้อ 4.
10. ตอบ ข้อ 3.
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ไฟฟ้าสถิต (Static electricity)

ไฟฟ้า เป็นปรากฏการณ์อันเนื่องมาจากการมีอยู่ หรือการเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า (อิเล็กตรอนหรือไอออน) อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเหล่านี้มีแรงกระทำต่อการเรียกว่า แรงไฟฟ้า วัสดุที่มีอิเล็กตรอน เกินจะมีประจุไฟฟ้าลบ วัสดุที่ขาดอิเล็กตรอนจะมีประจุไฟฟ้าบวก กระแสไฟฟ้า เิกิดขึ้นเนื่องจากการเคลื่อนที่ ของอิเล็กตรอนในวัสดุ ส่วนไฟฟ้าสถิต นั้นเกี่ยวข้องกับประจุไฟฟ้า เมื่ออยู่กับที่

กฏข้อที่ 1 ของไฟฟ้าสถิต (First Law of electrostatics) ประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ส่วนประจุไฟฟ้าต่างชนิดกันดูดกัน อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าจะ ดูดอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟ้าโดย การเหนี่ยวนำ ตัวนำ (Conductor) วัตถุที่มีอิเล็กตรอนจำนวนมาก ซึ่งเคลื่อนที่อย่างอิสระ ดังนั้นตัวนำจึงให้กระแสไฟฟ้า โลหะเป็นตัวนำที่ดี เช่น ทองแดง อลูมิเนียม และทองคำ ฉนวน(Insulator) วัตถุที่มีอิเล็กตรอนอิสระในการเคลื่อนที่น้อยมากหรือไม่มีเลย (เป็นตัวนำที่ไม่ดี) ฉนวนบางชนิดมีประจุไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อถูกถู เนื่องจากอิเล็กตรอนในอะตอมที่ผิวของวัตถุ เคลื่อนที่จากวัตถุหนึ่งไปยังอีกวัตถุหนึ่งแต่ประจุไฟฟ้าจะยังคงอยู่ที่ผิววัตถุนั้น อิเล็กโทรสโคป (Electroscope) เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบประจุไฟฟ้าจำนวนน้อยๆ อิเล็กโทรสโคปที่มีใช้ทั่วไปเป็นแบบแผ่นทองคำ เมื่อแผ่นทองคำและแท่งโลหะมีประจุไฟฟ้าจะผลักกัน แผ่น ทองคำจะกางออก เมื่อมีประจุไฟฟ้ามากแผ่นทองคำก็จะกางออกมาก อิเล็กโทรสโคปที่มี ตัวเก็บประจุ ระหว่างแป้นกับกล่องจะช่วยให้มความไวมากขึ้น การเหนี่ยวนำ หรือการเหนี่ยวนำไฟฟ้าสถิต (Induction) เป็นวิธีการทำให้ตัวนำ มีประจุไฟฟ้าโดยใช้ประจุไฟฟ้าจากวัตถุอื่น ซึ่งไม่แตะกัน ปกติแล้วประจุไฟฟ้าจะถูกเหนี่ยวนำตามส่วนต่างๆ ของวัตถุเนื่องจากการดึงดูดและผลักกัน ถ้าเคลื่อนประจุชนิดหนึ่งออกไป วัตถุนั้นจะมีประจุไฟฟ้าชนิดตรงข้าม คงอยู่อย่างถาวร แผ่นประจุ(Proof plane) เป็นแผ่นตัวนำเล็กๆมีด้ามถือทำด้วยฉนวน ใช้สำหรับ ถ่ายโอนประจุไฟฟ้าระหว่างวัตถุต่างๆ ความหนาแน่นประจุ(Surface density) หมายถึงประจุไฟฟ้าต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ บนผิววัตถุความหนาแน่นประจุจะมากถ้าผิวโค้งมาก และที่ส่วนแหลมของผิวจะมีประจุไฟฟ้าหนาแน่นมาก วัตถุทรงกลมมีความหนาแน่นประจุคงที่ กิริยาที่ปลายแหลม(Point action) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ปลายแหลม ที่ผิวของวัตถซึ่งมีประจุไฟฟ้าบวก ไอออนบวกในอากาศจะถูกผลักโดยประจุไฟฟ้าบวกที่ปลายแหลม ให้เคลื่อนที่ ไปชนโมเลกุลของอากาศและทำให้มีอิเล็กตรอนกระเด็นออกไปเป็นการเพื่มประจุขึ้นอีกและถูกผลักออกไป มีผล ให้เกิดลมไฟฟ้าของโมเลกุลอากาศ ฟ้าแลบ(Lightning) เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นเนื่องจากการไหลอย่ารวดเร็วของ ไฟฟ้้าจากก้อนเมฆซึ่งมีประจุไฟฟ้า เกิดขึ้นเนื่องจากการเสียดสีกันระหว่างนำ้้้้็้้้้้้้้และโมเลกุลของอากาศ สาย- ล่อฟ้า ใช้สำหรับลบล้างประจุไฟฟ้าบนก้อนเมฆโดย กิริยาที่ปลายแหลม ซึ่งนำประจุไฟฟ้าลงดินป้องกันไม่ให้ ผ่านสิ่งก่อสร้าง ฟ้าแลบมีลักษณะเช่นเดียวกับ หลอดปล่อยประจุ เครื่องกำเนิดประจุไฟฟ้า แวนเดอ กราฟ (Van de Graaff generator) เป็นเครื่องมือที่ผลิตประจไฟฟ้าจาก พลังงานกล สายพานที่เคลื่อนที่จะรวบรวมประจุทั้งการเสียดสี และจาก แหล่งประจุไฟฟ้าคืน และเก็บสะสมไว้บนตัวนำ อิเล็กโทรฟอรัส(Electrophorus) เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วย ฉนวน ที่มีประ จุลบและแผ่นทองเหลืองที่มีด้ามเป็นฉนวน ใช้สำหรับสร้างประจุไฟฟ้าบวกจำนวนมากจากประจุไฟฟ้าลบ เพียงประจุเดียว
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ไฟฟ้าสถิต
ไฟฟ้าสถิต (
อังกฤษ: Static electricity หรือ อังกฤษ: Electrostatics) เป็นปรากฏการณ์ที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากัน ปกติจะแสดงในรูปการดึงดูด, การผลักกัน และเกิดประกายไฟการเกิดไฟฟ้าสถิต
การที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันทำให้เกิดแรงดึงดูดเมื่อวัตถุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุต่างชนิดกัน หรือเกิดแรงผลักกันเมื่อวัสดุทั้ง 2 ชิ้นมีประจุชนิดเดียวกัน เราสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตโดยการนำผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน พลังงานที่เกิดจากการขัดสีกันทำให้ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุจะเกิดการแลกเปลี่ยนกัน โดยจะเกิดกับวัสดุประเภทที่ไม่นำไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า ฉนวน ตัวอย่างเช่น ยาง, พลาสติก และแก้ว สำหรับวัสดุประเภทที่นำไฟฟ้านั้นโอกาสเกิดปรากฏการณ์ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุไม่เท่ากันนั้นยากแต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น กรณีที่ผิวโลหะถูกกระแทกด้วยของแข็งหรือของเหลวที่ไม่เป็นตัวนำ ประจุที่เกิดการเคลื่อนย้ายระหว่างการสัมผัสจะถูกเก็บบนผิวของวัสดุทั้ง 2 ชิ้น ผู้ค้นพบคือทาลีส นักปาร์ญชชาวกรีก
ไฟฟ้าสถิตเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ที่คุ้นเคยสำหรับประเทศที่มีอากาศหนาว ในฤดูหนาวสำหรับประเทศเหล่านี้ความชื้นในอากาศจะต่ำมาก การเกิดไฟฟ้าสถิตบนผิวหนังจะเกิดขึ้นง่ายมาก ดังนั้นเมื่อเกิดการสัมผัสกับวัสดุประเภทตัวนำจะทำให้เกิดการถ่ายเทประจุไปยังตัวนำอย่างรวดเร็วทำให้เกิดอาการสะดุ้งได้ และนอกจากนั้นยังสามารถทำความเสียหายให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ค้นพบคือ เบนจามิน แฟรงคลิน ชาวอเมริกัน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)